วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ปัจจุบัน WhatsApp หายไปไหน

สมัยก่อนที่จะมี Line อย่างที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เมื่อก่อนเค้าเล่น WhatsApp กันซะส่วนใหญ่นะครับ (ตอนนั้นไลน์ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ) แต่อยู่ ๆ WhatsApp ก็หายไปเฉย ๆ เลย ปัจจุบันก็ไม่มี WhatsApp แล้ว หลายคนสงสัยว่าแอปที่โด่งดังนี้หายไปไหน . . .

จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก ฝรั่งในประเทศอื่น ๆ เค้าก็ยังเล่นกันอยู่นะครับ . . . แต่ WhatsApp เจอเฟซบุ๊คเข้าซื้อกิจการทั้งบริษัทไปเลย แล้วก็โปรโมทเป็น Facebook Messenger อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ในเฟซบุ๊คนั่นแหละครับ

ตอนนั้น Facebook ทุ่มเงิน $19 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 19000 ล้านเหรียญ) แปลงเป็นเงินไทยแล้วกันนะครับ (ราว ๆ 6 แสนล้านกว่าบาท) เพื่อซื้อกิจการ WhatsApp มาเป็นของตัวเอง (สงสัยซื้อมาแข่งกับไลน์) ตอนนั้นไม่รู้จะซื้อมาทำไมนะครับ แต่ตอนนี้ (ปี 2017) เค้าเริ่มเปิดเรา ๆ ท่าน ๆ มีการซื้อโฆษณาผ่าน Messenger กันแล้วนะครับ เพราะตอนนี้ไลน์ก็เริ่มจะมีโฆษณาแล้วนะครับ เค้ามี Line@ ที่เก็บเงินเป็นรายเดือน สำหรับให้ร้านค้าต่าง ๆ ทำการตลาดกันโดยเฉพาะ

สงสัยกิจการลักษณะนี้น่าจะทำรายได้ดี อาจติดลมบนแบบโฆษณาบนเฟซบุ๊คก็ได้ . . . ยังไงคอยติดตามกันนะครับ ตอนนี้ทางเฟซบุ๊ค ก็เริ่มมีการให้โฆษณาผ่าน Facebook Messenger กันแล้วนะครับ ลองดูกันว่าจะเป็นยังไง คนจะใช้บริการไหม ยังไม่มีใครตอบได้ เพราะยังใหม่มาก



ประเภทบัญชี Line@

ประเภทบัญชี Line@

ประเภทบัญชีไลน์@ ที่สมัครใหม่คือ Unapproved  คือไม่ได้รับการรับรองจากทาง Line ซึ่งจัดในอยู่บัญชีทั่วไป แต่ถ้าเราตั้งใจให้บัญชี Line@ ที่เราสร้างเป็นบัญชีร้านค้า ต้องการทำเรื่อง Approve รับรองร้านค้า ก็สามารถทำได้ โดยการเข้าที่ Manage Admin > Account Approval  > แล้วเลือกรูปแบบธุรกิจ แต่ถ้ากรณี “หมวดนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้” แสดงว่าธุรกิจประเภทนั้น ๆ ยังไม่รองรับการ Approve เพื่อรับรองบัญชี


ประเภทบัญชี Line@ มี 2 ประเภทคือ


บัญชีทั่วไป (สัญลักษณ์โล่สีเทาอ่อน)

บัญชีที่บุคคลทั่วไปสร้างขึ้น สามารถใช้คุณสมบัติพื้นฐานที่ไลน์@ มี เช่น ส่งข้อความ Broadcast ส่งคูปอง และโปรโมชั่น, แชตแบบ 1 ต่อ 1 แต่ไม่สามารถทำการค้นหาแบรนด์ได้ ต้องใช้วิธีแชร์ชื่อ Line ID แบบเป๊ะๆ หรือใช้วิธี แชร์ QR โค้ดแล้วนำไปแปะตามเว็บไซต์ เครือข่ายสังคม เป็นต้น

บัญชีที่ผ่านการรับรอง (สัญลักษณ์โล่สีเทาเข้ม)

เป็นบัญชีที่รับรองจากทางไลน์แล้ว สามารถปรากฏในผลการค้นหาในไลน์ได้ เพียงแค่ใส่ชื่อแบรนด์ร้านค้าเท่านั้น  ในกรณีที่ใช้มือถือแอนดรอยด์  ให้ไปที่ Manage Admin > Account Approval  > แล้วเลือกรูปแบบธุรกิจ แล้วรอให้ทางไลน์ทำการรับรอง

ขั้นตอนการสมัคร Line@

ขั้นตอนการสมัคร Line@

ง่ายมาก ๆ ครับ

1) ใช้ Play Store ของเราค้นหาและดาวน์โหลดแอป Line@ (Lineat) บนมือถือ


2) เปิดแอป Line@ ขึ้นมา
3) เลือกที่ Start with Line หรือ Login With Line Account แล้วใส่อีเมลและรหัสผ่านบัญชี Line ของเรา (ยอมรับข้อตกลง 2 ฉบับ) จากนั้น จะเข้าสู่ account list
4) แตะที่เครื่องหมาย + เพื่อสร้างบัญชี Line@ (เป็นบัญชีใหม่อีกบัญชีนึง แยกกับไลน์ธรรมดา)
5) ตั้งชื่อแบรนด์ ชื่อร้าน ชื่ออะไรก็ได้ที่คุณต้องการ จากนั้นเลือกหมวดรายละเอียดให้สอดคล้องกับเป้าหมายการสร้างบัญชี Line@ ของคุณ
6) ใส่รูปเข้าไป ไม่งั้นจะไม่สามารถสร้างบัญชี Line@ ได้
7) กรอกข้อมูลต่าง ๆ ให้ครบ แตะที่ Register ไปเลย

พรีเมียม ID

ในกรณีที่ต้องการสมัครแบบเสียเงิน (พรีเมียม ID) เพื่อให้ชื่อจำง่าย ๆ เอาไปบอกลูกค้าได้ง่าย ๆ ไม่ได้เป็นชื่อสุ่ม ๆ มั่ว ๆ  เราต้องจ่ายเงินผ่านทาง Line Pay เป็นรายปี จึงสามารถเปลี่ยนชื่อได้ และเปลี่ยนชื่อเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนชื่อได้อีก ..

วิธีการทำได้โดย: 

1) เปิดแอป Line@ ขึ้นมา
2) เข้าไปที่ Business Store > Premium ID แล้วกด Purchase


ต้องจ่ายเงิน $24.99 ปีแรก (ปีที่ 2 เป็นต้นไป $12) ผ่านทาง Line Pay (หากยังไม่ได้สมัคร Line Pay ต้องสมัคร Line Pay เพื่อผูกกับบัตรเครดิตของเราก่อน) เป็นการจ่ายเงินรายปี ต้องจ่ายทุกปีนะครับสำหรับค่าชื่อ




วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สิ่งที่ Line@ (เดือนละไม่กี่บาท มีหลายราคา) กับ Line Official (ต้องจ่ายเป็นล้าน) ต่างกัน

สิ่งที่ Line@ (เดือนละไม่กี่บาท มีหลายราคา) กับ Line Official (ต้องจ่ายเป็นล้าน) ต่างกัน

  1. Line@ ไม่มีสติ๊กเกอร์ - Line Official มี (เพราะล่อให้คนมาติดตามเยอะ ๆ เหมือนกับแจกสติ๊กเกอร์แล้วต้องเพิ่มเป็นเพื่อน อะไรอย่างนี้)
  2. Line@ ส่งวิดีโอไม่ได้ - Line Official ส่งวิดีโอได้
  3. Line@ ไลฟ์ไม่ได้ - Line Official ไลฟ์ได้ (ถ่ายทอดสด)
  4. Line@ มีผู้ติดตามอั้นที่บัญชีละ 3แสนคน - Line Official มีผู้ติดตามได้ไม่อั้น 
Line Official ต้องมีทุนหนามาก อย่างเช่นค่ายมือถือใหญ่ ๆ เช่น ทรู ดีแทค อะไรทำนองนี้นะครับ พวกเราทั่ว ๆ ไปที่ทุนไม่หนา ก็ใช้ Line@ กันไปก่อนนะครับ

การซื้อโฆษณาเฟซบุ๊คให้เวิร์ก

การซื้อโฆษณาเฟซบุ๊ค ต้องทำผ่านคอมพิวเตอร์ (เท่านั้น) ถ้าไม่อยากเสียเงินไปฟรี ๆ (โฆษณาแล้วไม่ได้ผล หรือทำแล้วขาดทุน)

ถ้าทำผ่านมือถือ ใช้ Boost Post จะไม่เวิร์ก และแพง ตั้งกลุ่มเป้าหมายอะไรต่าง ๆ ได้ไม่ละเอียด เรียกว่าเข้าเป้ายากนะครับ . . .

เดี๋ยวผมจะทำวิดีโอสอนอีกรอบแบบละเอียดเลยนะครับ

facebook จะเก็บเงินค่าโฆษณาเมื่อไหร่

ช่วงใหม่ๆ ที่ลองทำโฆษณาดู ปรากฏว่าลองทำแล้ว ไม่เห็นหักยอดไปซักทีเลย  (เช็คแล้วเช็คอีก เพราะกลัวมันหักยอดมั่ว) เลยเกิดความสงสัย จึงไปค้นหาข้อมูล แล้วก็ถามกูรูต่าง ๆ ท้ายที่สุดได้คำตอบดังนี้ครับ :

ถ้าไม่ได้ตั้งค่าอะไรเป็นพิเศษนะครับ ค่ามาตรฐานจะเก็บเงินเมื่อมียอดโฆษณาครบ 800 บาทครับ หรือว่าเก็บทุกเดือนตอนปลายเดือน พอปลายเดือนปั๊ป จะตัดเงินเราทันทีครับท่าน

สำหรับวิธีการดูข้อมูล ให้ไปที่เมนู "วิธีการเรียกชำระและการชำระเงิน"

การสร้างแชนเนลใหม่ในยูทูบ

การสร้างแชนเนลใหม่ในยูทูบ

ก่อนอื่นเราต้องมีบัญชี gmail ก่อนนะครับ ให้ไปสร้างไว้ จากนั้นทำดังนี้

1. เข้ายูทูบ www.youtube.com
2. เข้า Settings -> Overview
3. ด้านล่าง ๆ จะมีคำว่า See all my channels or create a new channel
    กด Create a new channel  --- เปรียบเสมือนการสร้างแฟนเพจ นะครับ โดยคนนึงมีหลายแชนเนลได้
4. ตั้งชื่อเข้าไป
5. แก้ไขโน่นนี่ พอกดเข้าไป มันจะไปทำผ่าน Google+ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง จึงจะอัปเดต

การลบช่องยูทูบ

ในกรณีที่เราสร้างช่องยูทูบผิด โดยไม่ได้ตั้งใจ และต้องการจะลบออก ให้ทำดังนี้

1. เข้า Settings -> Overview -> Advanced ตรงชื่อ
2. ล่างสุดจะมีคำว่า Delete channel
3. กด Delete channel

วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การลงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ค

การลงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ค

ก่อนที่จะเริ่มทำการตลาดผ่าน Facebook ในที่นี้ผมจะเน้นถึงการทำการตลาดออนไลน์อย่างเดียวนะครับ (พูดง่าย ๆ ก็คือการโฆษณานั่นแหละครับ) เราก็ควรจะพัฒนาหน้าแฟนเพจ หรือเว็บเพจ หรือแลนดิ้งเพจของเราให้น่าสนใจ มีคุณภาพ และมีข้อมูลครบถ้วน ดึงดูดให้สามารถปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพเสียก่อน  . . . ซึ่งอาจใช้เวลาพอสมควร แต่เป็นการลงแรงเพียงครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนภายหลังอาจมีการเพิ่มเติมนิด ๆ หน่อย ๆ ให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่เป็นการเสียเวลามากเท่าไหร่  . . . แต่ผลที่จะได้นั้นคุ้มค่ามาก

เปรียบเทียบง่าย ๆ คือเรากำลังจะเปิดบ้านใหม่ ถ้ายังตกแต่งบ้านไม่เสร็จ แต่ดันเชิญคนเข้ามา (เริ่มโฆษณา) พอมีคนเข้ามา เค้าก็จะเห็นว่า โน่นก็ไม่เรียบร้อย นี่ก็ไม่เรียบร้อย สุดท้ายก็จะเกิดความไม่เชื่อถือ แล้วก็จะไม่ซื้อของ หรือไม่แม้กระทั่งกด Like หรือกดติดตามเพจของเรา

ขณะนี้ การโฆษณาบนเฟซบุ๊ค มี 3 แบบหลัก ๆ ที่นิยมคือ

  1. โฆษณา แฟนเพจ - - ให้คนมาไลค์ สร้างเครดิต เหมือนกับคนที่เข้ามา ถ้าเห็นว่าสินค้าดี เค้าอาจจะอยากรู้ว่าเราน่าเชื่อถือหรือเปล่า สิ่งแรกที่จะดูก็คือ จำนวนคนติดตาม ถ้ามี 2 ร้าน ขายของเหมือนกันเป๊ะ ราคาเท่ากันเป๊ะ ร้านนึงมีคนติดตามอยู่ 50 คน อีกร้านมีคนติดตาม 5000 คน เราก็ลองคิดดูซิว่า ถ้าเป็นเรา เราจะซื้อของร้านไหน
  2. โฆษณาโพสต์ - - ขายของ ทำกำไร ขายกันเป็นอย่าง ๆ เลย อย่างเช่นโพสต์นี้จะขายเครื่องดูดฝุ่น โพสต์นี้จะขายครีมประทินผิว โพสต์นี้จะขายคอร์สสอนถ่ายภาพ อะไรอย่างนี้เป็นต้น 
  3. โฆษณาวิดีโอ - - สร้างวิดีโอให้น่าสนใจ ทำให้คนเกิดความอยากก่อน แล้วค่อยขายของทีหลัง

การเริ่มโฆษณาบนเฟซบุ๊ค (เมนูปี 2017 เมนูเปลี่ยนเรื่อย ๆ ครับ แต่หลักการเหมือนเดิม)

  1. กดเมนูสามเหลี่ยม Create Ads เข้า Ads Manager
  2. เลือกวัตถุประสงค์ ส่วนมากจะใช้แบบ Reach เพราะคนทั่วไปคงไม่ได้สร้างแบรนด์อะไรมากมาย แล้วตั้งชื่อแคมเปญ
  3. กด Set Up Ad Account เลือกประเทศ สกุลเงิน เขตเวลา
  4. ตั้งชื่อ Ad Set Name เลือก Page ที่จะโปรโมท, ผู้ชม กำหนดสถานที่ กลุ่มอายุ เพศ ภาษา งานอดิเรก พฤติกรรม, การวางตำแหน่ง, งบประมาณ กี่บาทต่อวัน
  5. ตั้งค่าต่าง ๆ เพิ่มเติม และทบทวนคำสั่ง เมื่อมั่นใจแล้วจึง Place Order

เราต้องสร้างให้เรามีบัญชีไว้ก่อน จากนั้นเราจึงจะเข้าไปปรับแต่ง ปรับเปลี่ยน รันโฆษณา พักโฆษณา ปิดโฆษณา หรือทำทุกอย่างได้ในภายหลัง ถ้าเรายังไม่มีบัญชีโฆษณา เราก็จะไม่สามารถทำอะไรได้เลย

ผมจะค่อย ๆ เขียนบทความสอนไปเรื่อย ๆ นะครับ ยังไงก็คอยติดตามกันนะครับ

สำหรับใครที่ต้องการดูเป็นวิดีโอ คอร์สเรียนจากวิดีโอออนไลน์ สร้างแฟนเพจหลักหมื่นไลค์ โกยกำไรจาก Facebook เป็นคอร์สวิดีโอที่จะสอนขั้นตอนการโฆษณาบนเฟซบุ๊คนะครับ . . .

วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สุดยอดเทคนิคการขาย 5 ขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้น จนปิดการขาย

คนในโลกโซเชียล ทั้งที่ต้องการ และไม่ต้องการสินค้าเรา ยกตัวอย่างคนเล่นเฟซบุ๊คในประเทศไทย มีทั้งหมด 40-45 ล้านคน ผมรู้ได้ยังไง ? เพราะเฟซบุ๊คให้เครื่องมือมานะครับ เดี๋ยวจะค่อย ๆ อธิบายให้ฟังในแฟนเพจผมไปเรื่อย ๆ นะครับ

1 สร้างความต้องการ ความสงสัย ความอยาก
2 ให้ข้อมูล 
3 เสนอสินค้าที่ช่วยแก้ปัญหา
4 กระตุ้นอารมณ์ 
5 ปิดการขาย 


ยกตัวอย่างในสถานการณ์จริง 1 สร้างความต้องการ ความสงสัย ความอยาก, ลองคิดดูว่า จากที่เล่นเฟซบุ๊คอยู่ดี ๆ จู่ ๆ อาจจะเห็นข้อความอะไรที่โดนใจ อย่างเช่น ถ้าคนชอบถ่ายภาพ หรือเล่นกล้อง จู่ ๆ เห็นโฆษณาโดรนตัวใหม่ ที่มันบินได้แบบไม่ตกง่าย ๆ บังคับง่าย พร้อมแสดงภาพตัวอย่างที่ถ่ายได้ในมุมมองเทพ ๆ แบบที่เค้าไม่เคยเห็นมาก่อน เค้าก็อาจจะกดเข้าไปดูรายละเอียด ดูว่ามันคืออะไร ซึ่งแต่เดิม เค้าไม่เคยได้สนใจอะไรเกี่ยวกับโดรน หรือการถ่ายภาพกลางอากาศเลย แต่โฆษณาของเราดันไปสะกิดต่อมความอยากของเขา . . ก็ดึงดูดให้เค้าเข้ามาที่แฟนเพจ (หรือเว็บไซต์) ของเรา

ถ้าเป็นโฆษณาที่เป็นข้อความ 2 ประโยคแรกต้องโดน ไม่งั้นลูกค้าไม่มีทางสนใจ ถ้าเป็นภาพ จากการวิเคราะห์ของหลายสำนัก ภาพที่โฆษณาได้ผลดีก็คือ ภาพที่ชัด สวยงาม สว่าง สดใสนะครับ . . . กูรูระดับโลกบางท่านถึงกับแนะนำให้ไปซื้อภาพจากสต๊อกกันทีเดียว

ขั้นตอนที่ 2 ให้ข้อมูล ในที่นี้ก็เป็นการให้ข้อมูลในแฟนเพจ ในเว็บ หรือในบล็อกของเรา . . . สำหรับขั้นตอนนี้ เราต้องเตรียมให้ดี (ยอมเสียเวลาเตรียมให้ดีตั้งแต่แรกเลยทีเดียว ถ้าทำไม่เป็น ให้จ้างคนทำก็ได้) เพราะเวลาคนเข้ามาในเพจเราแล้ว หากเข้ามาครั้งแรกไม่ประทับใจ ดูไม่น่าเชื่อถือ หรือมีแต่อะไรไม่รู้ไร้สาระ (หรือมีสาระมากไป ดูแล้วปวดหัว) เค้าก็จะออกไปที่อื่นทันที เรามีเวลาแค่ 2-3 วินาทีในการดึงให้เค้าอยู่เท่านั้น . . . อีกอย่าง เพจเราต้องคึกคักพอสมควร ยกตัวอย่างในชีวิตจริง ถ้าเราจะซื้อขนม มี 2 ร้านเหมือนกันเป๊ะ ร้านนึงคนยืนเข้าแถวยาวเลย อีกร้านไม่มีคนเลย โล่ง ๆ คนทั่วไปก็สันนิษฐานว่า ร้านที่ไม่มีคนอาจจะมีอะไรไม่ดีแน่ ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงอาจจะดีกว่าก็ได้ . . . อันนี้ป็นจิตวิทยาขั้นสูง คือคนจะเชื่อตามคนหมู่มากก่อน โดยไม่คิดวิเคราะห์ ไม่ได้ใช้เหตุผลอะไรมากมาย . . .ดังนั้น ยอดไลค์เพจเราก็มีความสำคัญในการทำให้ดูน่าเชื่อถือนะครับ ไลค์เยอะ ๆ ไว้ก่อนเป็นดี นี่เป็นเหตุผลที่บางคนยอมลงทุนซื้อไลค์กับเฟซบุ๊คเลยนะครับ ทั้ง ๆ ที่ปัจจุบันนี้ การไลค์เพจก็ไม่ได้สร้างยอดขายอะไรมากมายเหมือนสมัยก่อนแล้ว แต่เขาต้องการไลค์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้เพจครับ

*** โฆษณาเพจ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ - โฆษณาโพสต์ เพื่อสร้างยอดขาย ***

ขั้นที่ 3 เสนอสินค้าเพื่อช่วยแก้ปัญหา . . . พอลูกค้าเกิดความอยาก และพอเข้าใจข้อมูลอะไรต่าง ๆ คร่าว ๆ แล้ว ก็เราเสนอสินค้าให้ตรงจุด เพื่อแก้ปัญหาให้เค้า อย่างเช่นเรื่องโดรน ที่ยกตัวอย่างไปตอนแรก เราก็จะมีรุ่นที่ตอบสนองคนได้หลาย ๆ กลุ่ม อย่างรุ่นที่ตอบสนองช่างภาพมืออาชีพ ก็จะเสนอสินค้ารุ่นนึง ส่วนรุ่นที่จะขายให้เด็ก ๆ วัยรุ่นไปถ่ายรูปกันเล่น ๆ ก็อาจจะเสนออีกรุ่นนึง ซึ่งไม่แพงมาก สามารถตัดสินใจซื้อกันได้ง่าย ๆ

ขั้นตอนต่อไปคือ 4 กระตุ้นอารมณ์ ก็อาจจะใช้เรื่องเวลาที่จำกัดมาช่วย อย่างเช่น ซื้อเดี๋ยวนี้ ลดเลย 40% หรือเหลือสินค้าอีกแค่ 2 ชิ้นเท่านั้น ล็อตใหม่จะมาเดือนหน้า อะไรทำนองนี้เป็นต้น (ลองดูเว็บขายตั๋วเครื่องบินต่าง ๆ จะมามุกนี้ประจำ พอซื้อไปแล้ว มันก็มีที่นั่งเพิ่มมาขายให้อีก)

สุดท้าย ที่สำคัญที่สุดคือ 5 ปิดการขายอย่างมีประสิทธิภาพ บางทีทำมา 4 ขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าการซื้อ หรือการจ่ายเงินนั้นยุ่งยาก หรือต้องมีวิธีพิเศษไม่เหมือนชาวบ้าน ลูกค้าที่พร้อมจะจ่ายตังค์เต็มที่แล้ว ถ้าทำ 2-3 นาทีแล้วมีปัญหา เค้าก็อาจจะเปลี่ยนใจไม่ซื้อ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือ ไปซื้อร้านอื่น (หมดกัน) คือว่าถ้าเค้าไม่ซื้อ วันหลังอาจกลับมาซื้อใหม่ได้ แต่ถ้าไปซื้อร้านอื่นแล้ว ไม่มีทางที่เค้าจะซื้อสินค้าตัวเดิมนี้อีกแล้ว . . . . ดังนั้น ขั้นตอนที่ 5 ในโลกออนไลน์นี่ก็มีความสำคัญอย่างมาก

ในบทความถัดไป ผมจะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ การทำการตลาดออนไลน์มีเทคนิค และกลยุทธ์ต่าง ๆ เยอะมาก และเปลี่ยนเร็วมากเลยครับ อย่างตัวผมเอง ก็ต้องศึกษากลยุทธ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา














วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2560

5 เทคนิคในการทำการตลาดออนไลน์ให้ยอดพุ่งกระฉูด

5 เทคนิคในการทำการตลาดออนไลน์ ให้กำไรงาม ที่ไม่เคยมีใครบอก

1. กลุ่มเป้าหมาย ต้องชัดเจน เฉพาะกลุ่ม ถ้าจะให้ดี การวิเคราะด้วย Audience Insights ของ Facebook ก่อนทำก็เป็นเรื่องที่ดีมาก . . .
2. ให้สิ่งที่เค้าอยากรู้ อยากเห็น . . 2 ประโยคแรก หรือหัวข้อ ต้องโดน . . . คนเห็นต้องหยุดอ่าน  ถ้าเป็นการใช้ภาพโฆษณา ภาพต้องสวย สว่าง (ชัดเจน) ไม่คลุมเครือ
3. ความน่าเชื่อถือต้องมี . . . อย่างเราจะซื้ออะไรซักอย่าง เราจะดูอยู่ 2-3 ร้าน แล้วเปรียบเทียบกันว่าร้านไหนดูดีกว่า น่าเชื่อถือกว่า อย่างเช่นของเหมือนกันเป๊ะ ร้านนึงมีคนไลค์ 30 คน อีกร้านนึง 10000 คน ถ้าเป็นเรา เราจะซื้อร้านไหน
4. จำไว้ว่า "กระเป๋าตังค์อยู่ใกล้หัวใจมากกว่าสมอง" เวลาคนจะซื้ออะไร มักใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล คือถ้าชอบก็ซื้อ แล้วค่อยหาเหตุผลมาสนับสนุนการซื้อทีหลัง
5. มีหน้าปิดการขาย ที่สะดวก รวดเร็ว ง่าย ไม่ยุ่งยาก  . . . หลายครั้งที่กระบวนการซื้อยากเกินไป เค้าก็จะย้ายไปซื้อที่อื่น เพราะปัจจุบันของทุกอย่างหาซื้อที่ไหนก็ได้ ลูกค้าสามารถเลือกที่ไหนก็ได้ สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ให้ลูกค้ามาเลือกเรานั่นเอง

ติดตามเพจการตลาดออนไลน์ของผมนะครับ คลิกที่นี่